ลักษณะของบัวหิมะ
บัว หิมะที่กล่าวถึงนี้เป็นพืชในตระกูลเห็ดและยีสต์ที่ขึ้นอยู่บริเวณที่สูงชัน หรือบนยอดเขาในธิเบต ลักษณะเป็นวุ้นข้นๆเหมือนกะทิแต่ไม่ใช่ครีม
ประวัติของบัวหิมะไม่ปรากฎแน่ชัดแต่ข้อมูลที่ค้นพบได้บอกว่าผู้ค้นพบบัวหิมะคนแรกๆ ได้ลองนำไปผสมยาสมุนไพรที่บำรุงร่างกาย การเจริญเติบโตของบัวหิมะจะเติบโตมากในอากาศเย็น เมื่อรับประทานจะมีรสเปรี้ยว
การเลี้ยงบัวหิมะ
การเลี้ยงบัวหิมะที่ทำกันอยู่จะเลี้ยงด้วยน้ำนมสด เมื่อจะใช้ให้กรองแยกนมออกจากบัวหิมะ โดยใช้อุปกรณ์ที่ไม่ใช่โลหะ หลังจากนั้นให้ทำความสะอาดบัวหิมะโดยให้น้ำไหลผ่านจนสะอาดแล้วใส่ลงไปในแก้วพลาสติก แล้วใส่นมเข้าไปประมาณท่วมบัวหิมะแช่ไว้ 24 ชั่วโมง ที่อุณหภูมิห้องแล้วนำมากรองเพื่อจะดื่ม
นมที่ได้มามีรสชาติเปรี้ยวและมีคุณสมบัติเปรียบเสมือนอาหารเสริม ดื่มทุกวันก่อนอาหารเช้าหรือก่อนนอน ดื่มติดต่อกัน 8-10วันแล้วหยุด 5 วัน
วนเวียนไปเช่นนี้
สิ่งที่ต้องปฏิบัติ
- ถ้าแช่ช่องฟรีส บัวหิมะจะโตขึ้น 2 เท่าทุก ๆ 18 วัน
- อย่าใช้ภาชนะที่เป็นโลหะ
-ใช้ที่กรองพลาสติกใช้แก้วกระเบื้องได้
การดูแลรักษาบัวหิมะได้ดี
ให้ มีความสะอาด ย่อมจะทำให้สุขภาพของผู้ดื่มนมที่แช่บัวหิมะดีตามไปด้วย เนื่องจากจะได้นมที่สะอาดและมีคุณภาพสำหรับดื่ม แต่ถ้าล้างมากเกินไปก็ไม่เป็นผลดี
สรรพคุณ
เป็นอาหารเสริม
1. สร้างภูมิต้านทานในร่างกาย
2. บำรุงตับ, ม้ามให้แข็งแรง
3. รักษากระเพาะ และลำไส้
4. ปรับความดันโลหิตให้เป็นปกติ
5. ลดการขยายตัวของเซลมะเร็ง
6. ลดความเครียด ช่วยบรรเทาความเหนื่อย
7. ลดคอเรสเตอรอล
8. ละลายนิ่ว
9. ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ
10. ทำให้ระบบการขับถ่ายดีขึ้น
11. ประกอบด้วยสารอาหารต่าง ๆ ที่ร่างกายต้องการ
คุณภาพของนมเปรี้ยว (บัวหิมะ)
pH = 3.7
ความเป็นกรด (% กรดแลคติก) = 1.6%
Reducing sugar (แลคโตส กูลโครส หรือ กาแลคโตส) = 1.02%
โปรตีน = 3.2%
สิ่งที่ควรทำ
1.ดื่มนมที่กรองบัวหิมะออกแล้วทุกวัน จะทำให้มีสุขภาพแข็งแรง
2.ห้ามจำหน่ายบัวหิมะ.ถ้ามีบัวหิมะมากเกินความต้องการ ควรแจกจ่ายให้ผู้อื่นบ้าง
เกร็ดเพิ่มเติม
.นำนมที่กรองบัวหิมะออกแล้วมาพอกหน้า ประมาณ 30 นาที (หรือรอจนหน้าแห้ง) ตอนเช้าหรือก่อนนอน แล้วล้างออกด้วยน้ำเปล่า จะทำให้หน้าเนียน ขาว ใสขึ้น รู้สึกผิวเรียบเนียนละเอียดขึ้น สิวก็หาย เนื่องจากบัวหิมะมีคุณสมบัติช่วยรักษาแผลและสมานผิว
.อย่าล้างบัวหิมะด้วยน้ำทุกวัน เพราะคลอรีนจะทำลายการเจริญเติบโตของบัวหิมะ เมื่อกรองบัวหิมะออกแล้ว เทนมใหม่ ใส่ต่อได้เลย จะทำให้บัวหิมะโตเร็วมาก
. หากไม่อยู่บ้านเกิน 1 วัน ให้ใส่นมแค่พอท่วมบัวหิมะ แล้วแช่ตู้เย็นช่องแช่เย็นธรรมดาไว้
หากเกินกว่า 5 วัน ให้ล้างบัวหิมะด้วยน้ำให้สะอาด ผึ่งให้แห้งหมาดๆ ไม่ต้องใส่นม แล้วแช่ช่องฟรีซ (ช่องแช่แข็ง)ในตู้เย็น เพื่อหยุดการเจริญเติบโตของบัวหิมะชั่วคราว และเป็นการป้องกันไม่ให้เสียด้วย
. หากแช่เย็นแล้ว เมื่อใช้อีกครั้ง ให้ล้างน้ำเพื่อให้หายแข็ง
ทิ้งไว้ชั่วครู่ แล้วค่อยใส่นม
. นมที่กรองออกมาควรดื่มทันที แต่ สามารถนำไปแช่เย็นเก็บไว้ได้ไม่เกิน3 วัน
เมื่อกินบัวหิมะเข้าไป บัว หิมะจะช่วยให้ร่างกายขับไล่สารพิษออกไปจากร่างกาย หากมีอาการผิดปกติไปบ้างเช่น ท้องเดิน ให้ลดปริมาณการกินในช่วงแรกไปก่อน เพราะร่างกายของแต่ละคนอาจต้องใช้เวลาปรับตัวไม่เท่ากัน
วันพุธที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2553
วันอาทิตย์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2553
บัวหิมะ พืชมหัศจรรย์
บัวหิมะ พืชมหัศจรรย์ เรารวมทุกเรื่อง เกี่ยวกับบัวหิมะ ซึ่ง เป็นพืช มหัสจรรย์ คุณประโยชน์หลากหลาย ทั้งความงาม และเพื่อสุขภาพ คุณต้องไม่พลาดที่จะเข้ามาอ่าน บทความนี้ เพื่อ ความรู้ และ ตัวของคุณเองค่ะ
บัวหิมะ - K E F I R
รูปนี้ถูกลดขนาดลง กดที่เเถบนี้เพื่อดูขนาดเดิม ขนาดเดิมของรูป: 863x575 ขนาดของไฟล์: 41KB
1. บัวหิมะธิเบต หรือ คีเฟอร์ ( Kefir ) เป็นพืชตระกูลเดียวกับ “ เห็ด ” และ “ ยีสต์ ”
2.นม หรือโยเกิร์ตที่ได้จากการเพาะเลี้ยงบัวหิมะนี้ เนื่องจากเป็นการเพาะเห็ดหรือยีสต์ จึงมีรสและกลิ่นเปรี้ยว ไม่ใช่นมบูด แต่มีกระบวนการย่อยสลายเหมือนกับการบูดของอาหาร ต่างกันที่จุลินทรีย์ที่ใช้หมักบัวหิมะนี้ เป็นจุลินทรีย์ที่ดี มีประโยชน์ต่อร่างกาย กินแล้วไม่ท้องเสีย
คุณภาพของนมเปรี้ยว (บัวหิมะ)
pH = 3.7
ความเป็นกรด (% กรดแลคติก) = 1.6%
Reducing sugar (แลคโตส กูลโครส หรือ กาแลคโตส) = 1.02%
โปรตีน = 3.2%
3. ตอน ที่ได้รับบัวหิมะมาในวันแรกๆ (ในช่วงประมาณ 1 สัปดาห์แรก) ปริมาณจะยังมีน้อยอยู่ ให้ใส่นมแค่พอท่วมปิดหมด ไม่ต้องใส่นมหมดกล่อง เพื่อให้เมล็ดบัวหิมะได้มีเวลาปรับตัวกับสภาพแวดล้อมใหม่ และไม่บอบช้ำจนเกินไป
4. ศึกษาจากเว็บต่างประเทศแล้ว บอกว่า จะดื่มทุกวันก็ได้ ไม่ต้องเว้น 10 วัน (อันนี้แล้วแต่ความเชื่อของแต่ละคน)
5. นำ โยเกิร์ตที่ได้มาพอกหน้า ประมาณ 30 นาที (หรือรอจนหน้าแห้ง) ทุกคืนก่อนนอน แล้วล้างออกด้วยน้ำเปล่า (ไม่ต้องล้างด้วยสบู่) จะทำให้หน้าเนียน ขาว ใสขึ้น รู้สึกผิวเรียบเนียนละเอียดขึ้น สิวก็หาย เนื่องจากโยเกิร์ตบัวหิมะมีคุณสมบัติช่วยรักษาแผลและสมานผิว
6. บาง ครั้งหากใช้โยเกิร์ตบัวหิมะพอกหน้าแล้วรู้คันยิบๆในบางจุด นั่นไม่อันตราย แต่แสดงว่าผิวหนังบริเวณนั้น เป็นสิว แห้งลอก ซึ่งอาการคันนี้หมายถึงการที่กรดผลไม้และวิตามินต่างๆกำลังเข้าไปช่วยฆ่า เชื้อแบคทีเรีย และสมานผิวให้หายเป็นปกติ เมื่อสิวหายแล้วอาการคันนี้จะหมดไป
7. ถ้า หากระชอนกรองที่เป็นพลาสติกไม่ได้ แนะนำให้ใช้กระชอนช้อนปลา ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 4.5 นิ้วกำลังดี (ราคาประมาณ 8 – 12 บาท) โดยเวลาใช้ ให้ระวัง ห้ามโดนบริเวณที่เป็นลวดเหล็กเด็ดขาด
8. ไม่ จำเป็นต้องล้างบัวหิมะด้วยน้ำทุกวัน เพราะคลอรีนจะทำลายการเจริญเติบโตของบัวหิมะ ไม่จำเป็นต้องล้างน้ำเลย พอกรองโยเกิร์ต ออก ก็เทนมใหม่ ใส่ต่อได้เลย (แต่ควรล้างภาชนะที่ใส่ด้วยนะ) จะทำให้บัวหิมะโตเร็วมาก เหมือนกับการเลี้ยงปลา ที่ต้องใส่น้ำเดิมของมันลงไป และการย้ายต้นไม้ ก็ต้องใส่ดินเดิมของมันลงไปด้วยเช่นกัน ถ้าหากต้องการล้างจริงๆ ให้ใช้น้ำกลั่น หรือน้ำที่ปลอดสารคลอรีน
9. หากต้องการหยุดใช้ หรือไม่อยู่บ้าน 2-3 วัน ให้ใส่นมแค่พอปิดท่วมเม็ดบัวหิมะ แล้วแช่ตู้เย็นช่องแช่เย็นธรรมดาไว้
10. หาก ต้องการหยุดใช้ หรือไม่อยู่บ้าน เกินกว่า 4-5 วันขึ้นไป ให้ล้างบัวหิมะด้วยน้ำให้สะอาด ผึ่งให้แห้งหมาดๆ ไม่ต้องใส่นม แล้วแช่ช่องฟรีซ (ช่องแช่แข็ง)ในตู้เย็น เพื่อหยุดการเจริญเติบโตของบัวหิมะชั่วคราว และเป็นการป้องกันไม่ให้เสียด้วย
11. หาก แช่เย็นแล้ว เมื่อกลับมาใช้อีกครั้ง ให้นำไปล้างน้ำเพื่อให้หายแข็ง (ใช้น้ำอุ่นนิดๆได้ แต่ห้ามใช้น้ำร้อนเด็ดขาด) ทิ้งไว้ให้อุณหภูมิอุ่นขึ้น แล้วค่อยใส่นม
12. นมโยเกิร์ตที่กรองออกมาแล้ว ที่ดีที่สุดควรดื่มทันที แต่ถ้าอยากเก็บไว้ดื่มตอนหลัง สามารถนำไปแช่เย็นเก็บไว้ได้ 2-3 วัน
13. หาก ใครกินแล้วท้องไส้ปั่นป่วน นั่นไม่ได้แปลว่าคุณแพ้บัวหิมะ แต่แสดงว่าร่างกายของคุณมีโรคหรือสารพิษตกค้าง ซึ่งอาการปั่นป่วนคืออาการที่บอกว่า บัวหิมะนี้กำลังช่วยให้ร่างกายคุณขับไล่สารพิษนั้น / เพื่อให้รู้สึกดีขึ้นให้ลดปริมาณการกินในช่วงแรกไปก่อน เพราะร่างกายของแต่ละคนอาจต้องใช้เวลาปรับตัวไม่เท่ากัน
บัวหิมะ - K E F I R
รูปนี้ถูกลดขนาดลง กดที่เเถบนี้เพื่อดูขนาดเดิม ขนาดเดิมของรูป: 863x575 ขนาดของไฟล์: 41KB
1. บัวหิมะธิเบต หรือ คีเฟอร์ ( Kefir ) เป็นพืชตระกูลเดียวกับ “ เห็ด ” และ “ ยีสต์ ”
2.นม หรือโยเกิร์ตที่ได้จากการเพาะเลี้ยงบัวหิมะนี้ เนื่องจากเป็นการเพาะเห็ดหรือยีสต์ จึงมีรสและกลิ่นเปรี้ยว ไม่ใช่นมบูด แต่มีกระบวนการย่อยสลายเหมือนกับการบูดของอาหาร ต่างกันที่จุลินทรีย์ที่ใช้หมักบัวหิมะนี้ เป็นจุลินทรีย์ที่ดี มีประโยชน์ต่อร่างกาย กินแล้วไม่ท้องเสีย
คุณภาพของนมเปรี้ยว (บัวหิมะ)
pH = 3.7
ความเป็นกรด (% กรดแลคติก) = 1.6%
Reducing sugar (แลคโตส กูลโครส หรือ กาแลคโตส) = 1.02%
โปรตีน = 3.2%
3. ตอน ที่ได้รับบัวหิมะมาในวันแรกๆ (ในช่วงประมาณ 1 สัปดาห์แรก) ปริมาณจะยังมีน้อยอยู่ ให้ใส่นมแค่พอท่วมปิดหมด ไม่ต้องใส่นมหมดกล่อง เพื่อให้เมล็ดบัวหิมะได้มีเวลาปรับตัวกับสภาพแวดล้อมใหม่ และไม่บอบช้ำจนเกินไป
4. ศึกษาจากเว็บต่างประเทศแล้ว บอกว่า จะดื่มทุกวันก็ได้ ไม่ต้องเว้น 10 วัน (อันนี้แล้วแต่ความเชื่อของแต่ละคน)
5. นำ โยเกิร์ตที่ได้มาพอกหน้า ประมาณ 30 นาที (หรือรอจนหน้าแห้ง) ทุกคืนก่อนนอน แล้วล้างออกด้วยน้ำเปล่า (ไม่ต้องล้างด้วยสบู่) จะทำให้หน้าเนียน ขาว ใสขึ้น รู้สึกผิวเรียบเนียนละเอียดขึ้น สิวก็หาย เนื่องจากโยเกิร์ตบัวหิมะมีคุณสมบัติช่วยรักษาแผลและสมานผิว
6. บาง ครั้งหากใช้โยเกิร์ตบัวหิมะพอกหน้าแล้วรู้คันยิบๆในบางจุด นั่นไม่อันตราย แต่แสดงว่าผิวหนังบริเวณนั้น เป็นสิว แห้งลอก ซึ่งอาการคันนี้หมายถึงการที่กรดผลไม้และวิตามินต่างๆกำลังเข้าไปช่วยฆ่า เชื้อแบคทีเรีย และสมานผิวให้หายเป็นปกติ เมื่อสิวหายแล้วอาการคันนี้จะหมดไป
7. ถ้า หากระชอนกรองที่เป็นพลาสติกไม่ได้ แนะนำให้ใช้กระชอนช้อนปลา ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 4.5 นิ้วกำลังดี (ราคาประมาณ 8 – 12 บาท) โดยเวลาใช้ ให้ระวัง ห้ามโดนบริเวณที่เป็นลวดเหล็กเด็ดขาด
8. ไม่ จำเป็นต้องล้างบัวหิมะด้วยน้ำทุกวัน เพราะคลอรีนจะทำลายการเจริญเติบโตของบัวหิมะ ไม่จำเป็นต้องล้างน้ำเลย พอกรองโยเกิร์ต ออก ก็เทนมใหม่ ใส่ต่อได้เลย (แต่ควรล้างภาชนะที่ใส่ด้วยนะ) จะทำให้บัวหิมะโตเร็วมาก เหมือนกับการเลี้ยงปลา ที่ต้องใส่น้ำเดิมของมันลงไป และการย้ายต้นไม้ ก็ต้องใส่ดินเดิมของมันลงไปด้วยเช่นกัน ถ้าหากต้องการล้างจริงๆ ให้ใช้น้ำกลั่น หรือน้ำที่ปลอดสารคลอรีน
9. หากต้องการหยุดใช้ หรือไม่อยู่บ้าน 2-3 วัน ให้ใส่นมแค่พอปิดท่วมเม็ดบัวหิมะ แล้วแช่ตู้เย็นช่องแช่เย็นธรรมดาไว้
10. หาก ต้องการหยุดใช้ หรือไม่อยู่บ้าน เกินกว่า 4-5 วันขึ้นไป ให้ล้างบัวหิมะด้วยน้ำให้สะอาด ผึ่งให้แห้งหมาดๆ ไม่ต้องใส่นม แล้วแช่ช่องฟรีซ (ช่องแช่แข็ง)ในตู้เย็น เพื่อหยุดการเจริญเติบโตของบัวหิมะชั่วคราว และเป็นการป้องกันไม่ให้เสียด้วย
11. หาก แช่เย็นแล้ว เมื่อกลับมาใช้อีกครั้ง ให้นำไปล้างน้ำเพื่อให้หายแข็ง (ใช้น้ำอุ่นนิดๆได้ แต่ห้ามใช้น้ำร้อนเด็ดขาด) ทิ้งไว้ให้อุณหภูมิอุ่นขึ้น แล้วค่อยใส่นม
12. นมโยเกิร์ตที่กรองออกมาแล้ว ที่ดีที่สุดควรดื่มทันที แต่ถ้าอยากเก็บไว้ดื่มตอนหลัง สามารถนำไปแช่เย็นเก็บไว้ได้ 2-3 วัน
13. หาก ใครกินแล้วท้องไส้ปั่นป่วน นั่นไม่ได้แปลว่าคุณแพ้บัวหิมะ แต่แสดงว่าร่างกายของคุณมีโรคหรือสารพิษตกค้าง ซึ่งอาการปั่นป่วนคืออาการที่บอกว่า บัวหิมะนี้กำลังช่วยให้ร่างกายคุณขับไล่สารพิษนั้น / เพื่อให้รู้สึกดีขึ้นให้ลดปริมาณการกินในช่วงแรกไปก่อน เพราะร่างกายของแต่ละคนอาจต้องใช้เวลาปรับตัวไม่เท่ากัน
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)