วันเสาร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ประโยชน์มากมายจากบัวหิมะ

จิวไปขอพี่เป็ดมาค่ะ แฟนพี่เป็ดเขาเอามาจากพระธิเบต
แต่เขาบอกต้องเลี้ยงเกิน7วันก่อนถึงแจกคนอื่นได้
เขาแนะนำระหว่างล้างพูดว่า "อยู่เย็นเป็นสุข"ไปด้วย
จิวเพิ่งได้มาเมื่อวานนี้เองค่ะ
ขับรถไปเอามาที่บางบัวทองเลย
ด้านล่างนี้เป็นสรรพคุณของบัวหิมะ ที่จิวไปcopyตามเวปมาให้ลองอ่านกัน
------------------------------------------------------------ -------------------------------------------


บัวหิมะที่ร่ำลือกันเรื่องสรรพคุณรักษาแผลน้ำร้อนลวก พุพอง แมลงต่อย สัตว์กัด เอามาพอกหน้าแล้วหน้าสวย กินแล้วรักษาโรค
 
ส่วนที่ทึ่งมาแล้วถึงสรรพคุณ ประสบด้วยตัวเองขนาดเลี้ยงไม่ถึงอาทิตย์เลย
หมาที่บ้านเจอหมาจรจัดลอบกัดแผลแหวะหวะชนิดต้องต้องเดิน3ขานอนซ มเลย
เพราะเลือดไหลออกมากเป็นลิ่มเลยละ
เลยเอานมที่ใช้เลี้ยงบัวหิมะให้หมากิน ไม่กี่ชม. งง กันเลย
มันหายเดิน4ขาปกติ แถมวิ่งได้เหมือนไม่เกิดไรขึ้นเลยนะ แผลก็สมานเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ

ยังไม่พอน้องเจอท่อไอเสียมอเตอไซด์ลวกเอา มันว่าโม้เลยเอามาลอง คือเอาตัวบัวหิมะนิดนึงทา
ก็ไม่นานเท่าไหร่แผลหายปวดแสบปวดร้อน เพราะปกติถ้าเจอลวกแบบนี้นะจะปวดแสบร้อนเป็นอาทิตย์เลย
เพราะบัวหิมะมีฤทธิ์เป็นยาเย็น

ปัจจุบันนี้เอามาล้างหน้า หน้าเกลี้ยงขึ้นเยอะสิวหาย ฝ้าไม่มี ผิวเนียนนุ่มขึ้น
เวลาเป็นแผลก็เอามาทาแผลก็หายปวดและแผลหายเร็ว
เอามาดื่มภูมิแพ้ชอบเป็นหวัดก็ไม่ค่อยเป็น เวลาเป็นร้อนในก็กินมันทั้งตัวนิดนึงกับน้ำบัวหิมะก็หายเป็นร้อ นใน
ที่เลี้ยงมาจัดว่าคุ้ม ประหยัดค่าครีมบำรุงผิวและค่ายาเวลาไม่สบายได้เยอะเลย

รูปล่าสุดที่เลี้ยงขนาดแบ่งไปบ้างแล้ว ขยายตัวเพิ่มขึ้นเพียบ และเกาะกลุ่มกันดี




น้ำเลี้ยงบัวหิมะ เด็กผู้ใหญ่คนแก่ดื่มได้หมด เพราะแฟนเอาไปให้พี่สาว
พี่เขาก็เอาป้อนให้ลูกอายุไม่กี่เดือนกิน ผิวจะได้ดีขาวใส พี่เขากินตั้งแต่มีครรภ์แล้วด้วย

จะผสมอะไรดื่มเพื่อดับความเปรี้ยวก็ได้นะคะ ส่วนตัวเองเอามาผสมกะน้ำหวานเฮลบูบอยสีแดงดื่ม
แต่ตอนนี้ชินรสแล้วดื่มเพียวๆไม่ผสมอะไรเลย
บางคนบอกว่าดื่มก่อนอาหารจะทำให้ผอม ดื่มหลังอาหารจะทำให้อ้วน ดื่มก่อนนอนก็หลับสบายดี










การเลี้ยงและการดูแล

เมื่อได้รับมาครั้งแรก จะมีสภาพซึ่งแช่อยู่ในนมแล้ว ให้นำมากรองแยกนมออกจากเห็ด
โดยวิธีการกรองให้ใช้อุปกรณ์การกรองที่ไม่ใช่โลหะโดยเด็ดขาด
ดื่มนมที่ได้จากการกรองซึ่งประมาณ 8 ออนซ์ หลังจากนั้นให้ทำความสะอาดเห็ดโดยให้น้ำไหลผ่านจนสะอาด
บิดให้แห้งแล้วใส่ลงไปในแก้วพลาสติก
แล้วใส่นมเข้าไปประมาณ 8 ออนซ์แช่ไว้ 24 ชั่วโมง ที่อุณหภูมิห้องแล้วนำมากรองเพื่อจะดื่มเหมือนดังที่ได้มาตอนแร ก

ซึ่งนมที่ได้มาขณะนี้ได้เปลี่ยนมามีรสชาติเปรี้ยวและมีคุณสมบัต ิเปรียบเสมือนยา
ดื่ม ทุกวันก่อนนอนเป็นเวลา 20 วันและหยุดพักการดื่มเป็นเวลา 10 วัน และค่อยดื่มต่อวนเวียนไปเช่นนี้ในช่วงเวลาที่หยุดพักเป็นเวลา 10 วัน

ณ วันนั้นบัวหิมะต้องได้รับการทำความสะอาดทุกวันเหมือนดังตอนที่เ ราทำก่อนนำไปกรอง โดยบัวหิมะประมาณ 2.5 ช้อนโต๊ะสามารถที่จะทำได้ 1 แก้ว

ข้อควรจำ
- ห้ามแช่เย็น บัวหิมะจะโตขึ้นเป็น 2 เท่าทุก ๆ 18 วัน
- ห้ามไม่ให้บัวหิมะโดนโลหะโดยเด็ดขาด
-ใช้ที่กรองพลาสติกใช้แก้วกระเบื้องห้ามใช้โลหะ
การดูแลรักษาบัวหิมะได้ดี
ให้มีความสะอาดย่อมจะทำให้สุขภาพของผู้ดื่มนมที่แช่บัวหิมะดีตา มไปด้วย เนื่องจากจะได้นมที่สะอาดและมีคุณภาพสำหรับดื่ม


สรรพคุณ
1. สร้างความสมดุลของภูมิต้านทานในร่างกาย
2. ช่วยให้ตับ, ม้ามแข็งแรง
3. ช่วยรักษากระเพาะ และลำไส้
4. ทำให้ความดันโลหิตเป็นปกติ
5. ป้องกันการขยายตัวของมะเร็ง
6. ทำให้ร่างกายเป็นปกติ ลดความเครียด ช่วยบรรเทาความเหนื่อย
7. ช่วยรักษาโรคที่เกี่ยวกับหัวใจ และช่วยลดคอเรสเตอรอล
8. ช่วยละลายนิ่ว
9. สร้างสารปฏิชีวนะในร่างกาย เพื่อช่วยให้การซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ
10. รักษา ช่วยให้ตับ และระบบการขับถ่ายดีขึ้น
11. ประกอบด้วยสารต่าง ๆ ที่ร่างกายต้องการ


ความเป็นมาของสรรพคุณ
อาจารย์ทางด้านยาจากมหาวิทยาลัยพยาบาล GLEIVITZ ในโปแลนด์ ได้นำมาสู่ยุโรปจากเอเชีย โดยในขณะที่ทำงานที่อินเดีย และธิเบต

เขาป่วยด้วยโรคมะเร็งตับ พระที่ธิเบตได้นำมาให้เขากินเพื่อรักษาอาการป่วยของเขา หลังจากนั้น 18 เดือนเขาสามารถหายป่วย
ก่อนจะเดินทางกลับเขาจึงขอเห็ดนี้จากพระรูปนั้น พระรูปนั้นจึงได้ให้เขามาเป็นของขวัญ

คุณภาพของนมเปรี้ยว (บัวหิมะ)
pH = 3.7
ความเป็นกรด (% กรดแลคติก) = 1.6%
Reducing sugar (แลคโตส กูลโครส หรือ กาแลคโตส) = 1.02%
โปรตีน = 3.2%

ขอร้องให้ปฏิบัติ 3 ข้อ ต่อไปนี้คือ
1.เลี้ยงบัวหิมะให้ดี จะทำให้มีสุขภาพแข็งแรง
2.ห้ามจำหน่ายเด็ดขาด
3.ถ้าเลี้ยงแล้วเจริญเติบโตมีมากเกินความต้องการ โปรดแจกจ่ายให้ญาติและมิตรสหาย

วิธีเลี้ยงบัวหิมะ
ใช้นมสดรสจืด 1 กล่อง ประมาณ 250 c.c (8 1/2 ออนซ์) ไม่ต้องแช่ตู้เย็น
1.แช่บัวหิมะไว้ในนมสด 250 c.c นานประมาณ 24 ชั่วโมง บัวหิมะจะเปลี่ยนนมสดให้เป็นโยเกิร์ต
2.ใช้กระชอนกรองน้ำนมนั้นมาดื่ม (ควรดื่มทันที ไม่ควรตั้งทิ้งไว้นาน)
3.ดื่มก่อนนอนขณะท้องว่าง โดย ไม่ดื่มรวมกับเครื่องดื่มชนิดอื่นๆ ให้ดื่มติดต่อกันนาน 20 วัน แล้วให้หยุดพัก 10 วัน
4.ล้าง บัวหิมะด้วยน้ำสะอาดเบาๆ จนสะอาด (หากจำเป็นอาจใช้มือสัมผัสเบาๆได้) แล้วเทคืนสู่ภาชนะเดิม แช่ด้วยนมสดใหม่ 250 c.c ทิ้งไว้ 24 ชั่วโมง
5.ระหว่างพัก 10 วัน ให้ล้างบัวหิมะทุกคืน เติมนมสดรสจืดฯ ทุกครั้ง (ปฏิบัติเช่นเดียวกับข้อ 4.
6.ให้ เลี้ยงบัวหิมะในภาชนะแก้ว หรือพลาสติกเท่านั้น ห้ามใช้ภาชนะที่เป็นโลหะทุกชนิด เก็บในห้องที่มีอุณหภูมิปกติ ห้ามเก็บในอุณหภูมิที่เย็นจัด เพราะนมจะมีรสเปรี้ยวมาก
7.บัวหิมะจะเพิ่มจำนวนขึ้นเป็น 2 เท่า ภายในเวลา 18 วัน (ประมาณที่พอเหมาะคือ สองช้อนครึ่ง)

เอาผ้าบางปิดฝากันฝุ่นแมลงก็ได้


ต้องเปลี่ยนนมทุกวัน เพราะ ถ้าไม่เปลี่ยนความเปรี้ยวของนม มันจะไปกัดตัวมันได้ใช้นม1 กล่องต่อการเปลี่ยนนม 1 ครั้ง

ตัวบัวหิมะกินได้ ถ้ามันเยอะเกินไป แต่ถ้าจะให้ดี อย่ากินเลยมันโตยาก

ถ้าบัวหิมะตาย นมจะไม่ค่อยเปลี่ยนสภาพ คือไม่ค่อยหนืด ทั้งที่มีปริมาณมาก
และ ตัวบัวหิมะจะแข็งๆ ถ้าเคยกินจะรู้ว่านมที่ได้จะไม่เหมือนเดิม ปกติถ้าตัวบัวมากไป นมจะเปรี้ยวมาก เพราะฉนั้น ต้องแจกจ่าย หรือเอาออกบ้าง

ความเปรี้ยวจะขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่ใช้ในการหมักเป็นหลัก
ระยะ เวลาในการหมักที่เหมาะสม คือ 12 - 72 ชั่วโมง ยิ่งหมักนานเท่าไหร่ก็จะยิ่งเปรี้ยวมากเท่านั้น ถ้าเปรี้ยวเกินไป ก็ลองลดเวลาที่หมักดู หรือจะลองผสมกับน้ำผลไม้ก็ได้ อัตราส่วน น้ำผลไม้ 2 ส่วนต่อ Kefir (นมที่กรองแล้ว) 1 ส่วน

อ้อ.. ถ้าเอา Kefir แช่ไว้ในตู้เย็นหลังจากที่กรองแล้ว แล้วค่อยมาดื่ม ก็จะทำให้เปรี้ยวน้อยลงด้วย
อีกเหตุผลนึงก็คือ ปริมาณของบัวหิมะต่อนมมากเกินไป ลองแบ่งบัวหิมะออก หรือเติมนมให้เยอะขึ้นก็ได้

ลักษณะ ก่อนกรอง มันจะดูเหมือนโยเกิร์ต จะมีกลิ่นเปรี้ยวอยู่แล้ว แต่จะไม่เหมือนกลิ่นเปรี้ยวแบบนมเสีย คือ ถึงมันจะเปรี้ยว แต่มันไม่ได้เสีย ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย

เปรี้ยวแค่ไหนก็ทานได้ ขึ้นอยู่กับว่า ตัวเราจะทนทานได้รึเปล่าเท่านั้นเอง เลี้ยงไว้ที่ไหนก็ได้ แต่ว่าเลี้ยงไว้ในอุณหภูมิห้องจะดีที่สุด

บัวหิมะกิน lactose ที่อยู่ในนมเป็นอาหาร แล้วก็จะปล่อยอากาศออกมา เลยเห็นเป็นฟองๆ เป็นเรื่องปกติ นมไม่ได้เสีย




คำแนะนำ

1. บัวหิมะธิเบต หรือ คีเฟอร์ เป็นพืชตระกูลเดียวกับ “เห็ด” และ “ยีสต์”

2. นมหรือโยเกิร์ตที่ได้จากการเพาะเลี้ยงบัวหิมะนี้ มีรสและกลิ่นเปรี้ยว ไม่ใช่นมบูด แต่มีกระบวนการย่อยสลายเหมือนกับการบูดของอาหาร
ต่างกันที่จุลินทรีย์ที่ใช้หมักบัวหิมะนี้ เป็นจุลินทรีย์ที่ดี มีประโยชน์ต่อร่างกาย กินแล้วไม่ท้องเสีย

3. ตอนที่ได้รับบัวหิมะมาในวันแรกๆ (ในช่วงประมาณ 1 สัปดาห์แรก) ปริมาณจะยังมีน้อยอยู่ ให้ใส่นมแค่พอท่วมปิดหมด ไม่ต้องใส่นมหมดกล่อง
เพื่อให้เมล็ดบัวหิมะได้มีเวลาปรับตัวกับสภาพแวดล้อมใหม่ และไม่บอบช้ำจนเกินไป

4. ศึกษาจากเว็บต่างประเทศแล้ว บอกว่า จะดื่มทุกวันก็ได้ ไม่ต้องเว้น 10 วัน (อันนี้แล้วแต่ความเชื่อของแต่ละคน)

5. นำโยเกิร์ตที่ได้มาพอกหน้า ประมาณ 30 นาที (หรือรอจนหน้าแห้ง) ทุกคืนก่อนนอน แล้วล้างออกด้วยน้ำเปล่า (ไม่ต้องล้างด้วยสบู่) จะทำให้หน้าเนียน ขาว ใสขึ้น รู้สึกผิวเรียบเนียนละเอียดขึ้น สิวก็หาย
เนื่องจากโยเกิร์ตบัวหิมะมีคุณสมบัติช่วยรักษาแผลและสมานผิว

6. บางครั้งหากใช้โยเกิร์ตบัวหิมะพอกหน้าแล้วรู้คันยิบๆในบางจุด นั่นไม่อันตราย แต่แสดงว่าผิวหนังบริเวณนั้น เป็นสิว แห้งลอก
ซึ่ง อาการคันนี้หมายถึงการที่กรดผลไม้และวิตามินต่างๆกำลังเข้า ไปช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และสมานผิวให้หายเป็นปกติ เมื่อสิวหายแล้วอาการคันนี้จะหมดไป

7. ถ้าหากระชอนกรองที่เป็นพลาสติกไม่ได้ แนะนำให้ใช้กระชอนช้อนปลา ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 4.5 นิ้วกำลังดี
(ราคาประมาณ 8 – 12 บาท) โดยเวลาใช้ ให้ระวัง ห้ามโดนบริเวณที่เป็นลวดเหล็กเด็ดขาด

8. ไม่จำเป็นต้องล้างบัวหิมะด้วยน้ำทุกวัน เพราะคลอรีนจะทำลายการเจริญเติบโตของบัวหิมะ

ไม่จำเป็นต้องล้างน้ำเลย พอกรองโยเกิร์ต ออก ก็เทนมใหม่ ใส่ต่อได้เลย (แต่ควรล้างภาชนะที่ใส่ด้วยนะ) จะทำให้บัวหิมะโตเร็วมาก
เหมือน กับการเลี้ยงปลา ที่ต้องใส่น้ำเดิมของมันลงไป และการย้ายต้นไม้ ก็ต้องใส่ดินเดิมของมันลงไปด้วยเช่นกัน ถ้าหากต้องการล้างจริงๆ ให้ใช้น้ำกลั่น หรือน้ำที่ปลอดสารคลอรีน

9. หากต้องการหยุดใช้ หรือไม่อยู่บ้าน 2-3 วัน ให้ใส่นมแค่พอปิดท่วมเม็ดบัวหิมะ แล้วแช่ตู้เย็นช่องแช่เย็นธรรมดาไว้

10. หากต้องการหยุดใช้ หรือไม่อยู่บ้าน เกินกว่า 4-5 วันขึ้นไป ให้ล้างบัวหิมะด้วยน้ำให้สะอาด ผึ่งให้แห้งหมาดๆ ไม่ต้องใส่นม แล้วแช่ช่องฟรีซ (ช่องแช่แข็ง)ในตู้เย็น เพื่อหยุดการเจริญเติบโตของบัวหิมะชั่วคราว และเป็นการป้องกันไม่ให้เสียด้วย

11. หากแช่เย็นแล้ว เมื่อกลับมาใช้อีกครั้ง ให้นำไปล้างน้ำเพื่อให้หายแข็ง (ใช้น้ำอุ่นนิดๆได้ แต่ห้ามใช้น้ำร้อนเด็ดขาด) ทิ้งไว้ให้อุณหภูมิอุ่นขึ้น แล้วค่อยใส่นม

12. นมโยเกิร์ตที่กรองออกมาแล้ว ที่ดีที่สุดควรดื่มทันที แต่ถ้าอยากเก็บไว้ดื่มตอนหลัง สามารถนำไปแช่เย็นเก็บไว้ได้ 2-3 วัน

13. หากใครกินแล้วท้องไส้ปั่นป่วน นั่นไม่ได้แปลว่าคุณแพ้บัวหิมะ
แต่ แสดงว่าร่างกายของคุณมีโรคหรือสารพิษตกค้าง ซึ่งอาการปั่นป่วนคืออาการที่บอกว่า บัวหิมะนี้กำลังช่วยให้ร่างกายคุณขับไล่สารพิษนั้น
เพื่อให้รู้สึกดีขึ้นให้ลดปริมาณการกินในช่วงแรกไปก่อน เพราะร่างกายของแต่ละคนอาจต้องใช้เวลาปรับตัวไม่เท่ากัน


*มี สรรพคุณหลักคือ รักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ไฟไหม้ตามร่างกาย อีกทั้งยังสามารถรักษาผิวพรรณ ไม่ว่าจะเป็น ฝ้า ตกกระ กลาก เกลื้อน แมลงสัตว์กัดต่อย รวมไปถึง ฮ่องกงฟุต และริดสีดวงทวาร

*เมื่อทาแล้วมันจะรู้สึกเย็นๆ
แต่ จะต้องใช้เวลาประมาณ หนึ่งอาทิตย์นะค่ะถึงจะเห็นผล คือช่วงแรกจะมีอาการเป็นเม็ดสีแดงๆขึ้นบริเวนใบหน้าและบริเวนที ่ทา จากนั้นจะหายไปเองโดยเราจะต้องทาต่อเนื่องหนึ่งอาทิตย์ไม่ต้องแ กะหรือเกาใด้ๆทั้งสิ้น วิธีที่ใช้เหมือนเรานวดหน้า

*นาน ๆ ไปมันจะคล้าย ๆ ดอกกะหล่ำเลย แต่ว่านิ่ม ๆ เหมือนเห็ดหูหนู กลิ่นเหมือนนมธรรมดา แต่ว่ารสชาติเปรี้ยว

*บัว หิมะ คือ ครีมที่ใช้ทาแผลผุผองจากความร้อน เช่นไฟลวก น้ำร้อนลวก ผื่นต่างๆ ริดสีดวง ฯลฯ ที่ทำให้คนไทยรู้จักเนื่องมาจากคราวเกิดรถแก๊สคว่ำที่ถ.เพชรบุร ีมีคนถูกไฟลวกจำนวนมาก ทางจีนได้นำยานี้มาให้ทา ปรากฏว่าอาการแผลไฟไหม้ดีขึ้น
ได้ยินมาว่าทานบัวหิมะแล้วจะทำให้มีลูกง่าย



ควรใช้นมชนิดใด?

1.1 ชนิดของนมที่ดีที่สุด คือ นมแพะ เพราะนมแพะสามารถย่อยและดูดซึมได้ง่ายกว่านมวัว และค่อนข้างมีปัญหาการแพ้น้อยกว่า นมแพะมีความสมดุลกับร่างกายมนุษย์มากกว่านมแบบนั้นหายาก แต่ก็น่าจะลองหาซื้อดู อาจจะมีราคาแพง แต่ถ้าเทียบกันในระยะยาว ก็ถือว่าเป็นการลดค่ายาค่าหมอในการรักษาโรคในอนาคตได้ เพราะคุณจะได้รับผลคุ้มค่ากว่าเงินที่เสียไป

2. สามารถใช้นมอื่นๆทำโยเกิร์ตคีเฟอร์ได้หรือไม่?

2.1 นมทุกชนิดใช้ทำโยเกิร์ตคีเฟอร์ได้ เช่น นมจากสัตว์ (แพะ, วัว, แกะ ฯลฯ), นมจากพืชตระกูลถั่ว (ถั่วเหลือง, ถั่วแดง ฯลฯ), นมจากพืชตระกูลข้าว (ข้าว, ข้าวบาร์เล่ย์ ฯลฯ), นมจากพืชตระกูลถั่วเปลือกแข็ง (อัลมอน, มะพร้าวหรือกะทิ ฯลฯ), นมจากพืชตระกูลเมล็ดเล็ก (ป่าน, ฟักทอง, งา ฯลฯ) แต่นมที่นิยมใช้กันมากที่สุดคือ นมวัว, นมแพะ และนมถั่วเหลือง

2.2 ผู้เขียนเคยลองใช้นมถั่วเหลืองทำโยเกิร์ตคีเฟอร์ ใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์จึงปรับสภาพได้ หลังจากนั้นผู้เขียนจึงเก็บเมล็ดคีเฟอร์ไว้ส่วนนึงเพื่อทำโยเกิ ร์ตคีเฟอร์จากนมถั่วเหลืองโดยเฉพาะ คิดว่ารสชาติอร่อยดี แต่แตกต่างกับโยเกิร์ตคีเฟอร์ทั่วๆไป อย่างสิ้นเชิง

3. ฉันจะทำโยเกิร์ตคีเฟอร์โดยใช้เครื่องดื่มชนิดอื่นๆได้หรือไม่?

A3.1 ทำได้แน่นอน เราสามารถทำคีเฟอร์ได้โดยใช้เครื่องดื่มที่ไม่ใช่นมได้หลากหลาย ชนิด แต่เครื่องดื่มนั้นๆจำเป็นจะต้องมีส่วนประกอบของน้ำตาลเพื่อให้ เป็นอาหารแก่คีเฟอร์ด้วย

คีเฟอร์ที่ทำจากน้ำผลไม้หรือน้ำที่มีรส หวานอื่นๆ เรียกว่า “คีเฟอร์น้ำ” คีเฟอร์ต้องการระยะเวลาในการปรับตัวให้เข้ากับสภาวะใหม่ๆ ทดลองทำคีเฟอร์ด้วยน้ำนมถั่วเหลืองยังต้องใช้เวลากว่า 1 สัปดาห์ในการปรับตัวเลย เพราะฉะนั้นคีเฟอร์แบบน้ำ คงยิ่งต้องใช้เวลามากกว่านั้นอีก ส่วนวิธีการเริ่มเปลี่ยนจากนมเป็นน้ำผลไม้หรือน้ำหวาน

ให้ทำตามวิธีเหมือนกับตอนที่คีเฟอร์เพิ่งถูกขนส่งมาจากระยะทางไ กลๆ คือ ใส่น้ำผลไม้หรือน้ำหวานในปริมาณน้อยๆก่อน ในช่วงเริ่มต้น

4. จะเปรียบเทียบคุณค่าของแบคทีเรียและยีสต์ในคีเฟอร์แบบน้ำ กับคีเฟอร์ที่ผลิตออกขายทั่วไปได้อย่างไร

4.1 โดยคีเฟอร์แบบน้ำ (น้ำผลไม้หรือน้ำหวาน) จะมีแบคทีเรียกรดแลคติค 13 ชนิด, สเตร็ปโต และ แลคโตค็อคซี 5 ชนิด, ยีสต์ 7 ชนิด - รวมทั้งหมด 25 พันธุ์

4.2 เมื่อเปรียบเทียบกับคีเฟอร์แบบใช้นม ซึ่งมี แลคโตบาซิลี 18 สายพันธุ์, สเตร็ปโต และ แลคโตค็อคซี 9 ชนิด, แอคเซโทแบคเตอร์ 2 ชนิด, ยีสต์ 12 ชนิด – รวมทั้งสิ้น มีแบคทีเรียและยีสต์ 41 สายพันธุ์

4.3 สรุปแล้ว ทั้งคีเฟอร์แบบน้ำ และแบบนม ต่างก็มีคุณประโยชน์ต่อร่างกายด้วยกันทั้งคู่ เพียงแต่คีเฟอร์แบบนมมีจุลินทรีย์หลากหลายชนิดกว่า แต่ทั้ง 2 แบบ ต่างก็มีส่วนสำคัญในกระบวนการเผาผลาญอาหารของมนุษย์เช่นกัน

4.4 โดยมาก คีเฟอร์แบบนมเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้นมสัตว์ จึงมีความสมดุลกับร่างกายของมนุษย์ได้มากกว่า แต่อย่างไรก็ต้องไม่ลืมคำนึงคนที่รับประทานมังสวิรัติด้วย ถือเป็นกรณียกเว้น ว่าไม่อาจดื่มคีเฟอร์จากนมได้

5. จะเปรียบเทียบคีเฟอร์ กับโยเกิร์ต และบัตเตอร์มิ้ลค์ อย่างไร?

5.1 อีกครั้ง ดังที่ได้กล่าวไปแล้ว คีเฟอร์มีคุณประโยชน์มากกว่าโยเกิร์ตและบัตเตอร์มิ้ลค์แน่นอน เพราะคีเฟอร์มีจุลินทรีย์ถึง 41 สายพันธุ์ ในขณะที่โยเกิร์ตมีเพียงแค่ 4 ชนิด และเพียง 2 ชนิดในบัตเตอร์มิ้ลค์

คีเฟอร์ที่เพาะเลี้ยงในนมจะ มีสีขาวเหมือนนม ส่วนคีเฟอร์ที่มีสีอื่นๆ ขึ้นอยู่กับสีของน้ำที่นำมาใช้เพาะเลี้ยงนั่นเอง ซึ่งความยืดหยุ่น และความหนาแน่นก็จะต่างกันไปด้วย

3: เป็นที่น่าประหลาดใจมาก คีเฟอร์สามารถรวมตัวเกาะกันเป็นกลุ่มก้อนได้ และสร้างเซลส์ผนังของตัวเองขึ้นมา ยิ่งไปกว่านั้น หากคีเฟอร์ถูกแยกหรือทำให้ฉีกขาดออกจากกัน มันก็ยังสามารถรักษาตัวเองได้อีกด้วย




Q: หากเมล็ดคีเฟอร์ของฉันเล็กมาก จะผิดปกติไหม
A: ไม่ผิดปกติ เป็นธรรมชาติ มันอาจมีได้หลายขนาด ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม


Q: เมล็ดคีเฟอร์ของฉันมันใหญ่เกินไป จะตัดมันเป็น 2 ส่วนได้หรือไม่
A: ห้ามตัดคีเฟอร์เด็ดขาด เพราะจะเป็นการทำร้ายโครงสร้างของมัน หากต้องการแบ่งให้เล็กลง ทำได้โดยการ ใช้มือดึงมันออกจากกันเบาๆได้ เพราะจะไม่เป็นการทำร้ายโครงสร้างของมัน มันจะยังมีสภาพเดิมที่ดีอยู่ เพียงแต่เล็กลงเท่านั้น


Q: คีเฟอร์ของฉันมันดูนิ่มๆและพองบวมเกินไป
A: บางครั้งคีเฟอร์อาจเหลวเละ ดูอืดบวม และไม่เป็นลักษณะแบบยางยืดเช่นเคย นั่นแสดงว่ามันไม่มีความสุข มันคงได้รับการดูแลและอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม เช่น อุณหภูมิที่ผิดปกติ ปริมาณนมที่ใส่ เยอะเกินไป

ให้คุณเริ่มปฏิบัติกับมันเหมือนในครั้งแรกๆที่คุณเพิ่งได้รับมั นมาใหม่ เหมือนกับคีเฟอร์ที่เพิ่งผ่านการขนส่งหรือเดินทางมาจากที่ไกล

ขั้น แรก ให้ย้ายมันไปสู่ภาชนะใหม่ที่สะอาดหลังจากใส่นมใหม่แล้ว นำทั้งภาชนะไปแช่ในน้ำอุ่น (อย่าใช้น้ำที่ร้อนมาก เพราะมันจะกลายเป็นการฆ่าคีเฟอร์) นั่นจะได้ประโยชน์ 2 ทาง คือ ได้อุ่นนม (หากนมนั้นเพิ่งแช่ตู้เย็นมา) และเป็นการปรับอุณภูมิคีเฟอร์ให้สัมพันธ์กับอุณหภูมิห้องด้วย

Q: คีเฟอร์ของฉันมันกลายเป็นแผ่นๆ (ไม่เป็นเม็ดกลมเหมือนตอนแรก)
A1: จริงหรือ หากคีเฟอร์ของคุณกลายเป็นลักษณะแผ่นๆเหมือนในตำนาน (ลักษณะคล้ายเห็ดหูหนูขาว) หายากมากๆ แต่มันไม่ผิดปกติ เกิดจากการแผ่ขยายปกคลุมเมล็ดคีเฟอร์เล็กๆให้เป็นแผ่นเดียวกัน ในรูปทรงที่แปลกออกไป


แบบครีมที่ทำสำเร็จขายให้ทาผิว
บัว หิมะของคังเซนซิ ที่ส่วนมากเค้าเรียกกันว่าจิวฟูอ่ะ ราคากระปุกเล็กประมาณ 940 บาท (ราคาสมาชิกน่ะ) ส่วนกระปุกใหญ่ ประมาณ 1,600 กว่าๆ แต่เราใช้ทาหน้าทาแล้วจะเย็นๆๆ

ถ้าอยากได้ของแท้จริงๆจะคงต้องฝากคนไปจีนซื้อเพราะส่วนใหญ่โปรแ กรมจะพาไปที่โรงงานด้วย ราคาเมื่อ 2 วันก่อนประมาณ เจ็ดร้อยกว่าบาท

ซื้อ ที่จีนราคา 250 หยวน แต่ถ้าซื้อ10กระปุกจะเหลือ230หยวน ร้านที่ขายจะเป็นของแท้จะเป็นของรัฐบาลจีน ซึ่งมีอยู่ประมาณ12 สาขาทั่วประเทศจีนตามเมืองใหญ่เช่น คุนหมิง เซี้ยงไฮ้ ฯลฯ ถ้าไม่ใช่ร้านของรัฐบาลจีน ไกด์เขาไม่แนะนำให้ซื้อเพราะของปลอมเยอะมาก ถ้าสนใจเวลาที่คุณไปเที่ยวจีนให้แจ้งไกด์จีนได้เขาจะพาไปซื้อแล ะที่ร้านของเขาจะเป็นโรงงานอยู่ด้วยและมีโชร์สรรพคุณของตัวยาให ้เราดูด้วย
1. กล่องตอนนี้เปลี่ยนใหม่แล้ว เมื่อก่อนสีม่วง
2. ตราสัญลักษณ์จะมีใบไม้ 3 ใบ ถ้าของปลอมจะมี 2 ใบ
3. สีของครีม ขาว ไม่ใช่สีเหลืองครีม
4. ทาแล้วเย็นๆค่ะ เย็นนานด้วย

ตอนนี้ที่จิวมีแล้ว..ถ้าจะนับก็คือเลี้ยงวันนี้แล้ววันแรก
แล้วพอครบ7วัน ก็สามารถแบ่งบันให้คนที่สนใจได้

แต่ด้วยที่เขาว่ากันว่า 18 วัน ปริมาณของบัวหิมะจะเพิ่มขึ้น1เท่า
(ตอนนี้มีประมาณ 2ช้อนชา อีก18วันน่าจะแบ่งได้ถึง2คน)

วันเสาร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2552

บัวหิมะ คือ อะไรกันแน่มาหาคำตอบกัน

บัวหิมะ มันคืออะไรกันแน่วันนี้เรามาหาคำตอบกันครับ
1.บัวหิมะคืออะไร บัวหิมะ ฝรั่งเรียก kefir มีต้นกำเนิดแถวๆตุรกี เป็นแบคทีเรียที่มีประโยชน์ต่อร่างกายของคนเราหลายๆชนิดอยู่ร่วมกัน ประกอบด้วย

Lactococcus lactis subsp. lactis
lactococcus lactis subsp. cremoris
Lactococcus lactis subsp. diacetylactis,
Leuconostoc mesenteroides subsp. cremoris
Lactobacillus Kefyr (thermophilic)
Klyveromyces marxianus var. marxianus
Saccaromyces unisporus

2.แล้วมันต่างหรือเหมือนกับโยเกิตไหม หรือยังไหง
ต่างกันครับ บัวหิมะ จะเหลวกว่ากลิ่นแรงกว่าโยเกิตครับ และมีแบคทีเรียที่มีประโยชน์หลายชนิดมากกว่า วิธีการทำก็ค่อนข้างแตกต่างกันอย่างมากครับ คือเจ้าแลคโตบาสิลัสในโยเกิตนั้นมันข้อนข้างอ่อนแอ ทำให้เวลาทำต้องมีการต้มฆ่าเชื้อสารพัดและต้องใช้อุณภูมิที่เหมาะสมในการทำ ด้วยจึงจะได้ผลิตภัณท์ที่ดีและจะต้องผลิดจากนมเท่านั้น ส่วนเจ้า บัวหิมะ มันสามารถผลิตได้จากหลายๆอย่างเช่น นม น้ำเต้าหู้ น้ำกะทิ หรือแม้แต่น้ำหวาน การผลิตก็ไม่ยุ่งยากอะไรนัก แค่ต้องระวังให้ภาชนะสะอาด เรื่องอุณภูมิบัวหิมะสามารถอยู่ได้ในอุณภูมิที่กว้างมาก (2-40 C)
ถ้าพูดกันในแนวของประโยชน์โดยตัดเรื่องของสารอาหารออกไปแล้วละก็
เจ้าโยเกิตกินเข้าไปมันจะช่วยให้ทางเดินอาหารสะอาดและให้อาหารกับแบ็กทีเรีย ที่มีประโยชน์ที่อาศัยอยู่ในลำใส้เราด้วย แต่จะเป็นแบบชั่วคราวคือกินแล้วก็แล้วกันว่งั้นเถอะ ส่วนเจ้า บัวหิมะ มันจะมีประโยชน์เหมือนกับโยเกิตแต่จะต่างกันตรงเจ้านี้จะเข้าไปอาศัยอยู่ใน ลำใส้เราได้เลยทำให้มีประโยชน์ในระยะยาวกับระบบทางเดินอาหารของเราครับ
แล้วมันยังมียีสเช่น Saccharomyces kefir และ Torula kefir ที่ทำหน้าที่ฆ่าเชื้อโรคที่จะเข้ามาในทางเดินอาหาร และจะทำให้เรามีความต้านทานต่อเชื้อโรคเช่น อีโคไล และปรสิตต่างๆดีขึ้น
นอกจากนี้เจ้า บัวหิมะ จะช่วยย่อยอาหารทำให้อาหารดูดซึมดีขึ้น ทำให้ลำใส้สะอาดมีสารพิษตกค้างน้อยลง
และขนาดของ บัวหิมะ จะเล็กกว่าโยเกิตทำให้ย่อยได้ง่ายกว่ามากครับ

3.สารอาหารใน บัวหิมะ มีอะไรบ้าง มาดูกันครับ
นอกจากแบคทีเรียที่มีประโยชน์ และยีสแล้ว ใน บัวหิมะ ยังมีกรดอมิโนที่จำเป็นต่างๆ และโปรตีนในนมซึ่งถูกย่อยไปแล้วเป็นบางส่วนโดยเจ้า บัวหิมะ จะมีข้อดีคือดูดซึมได้ง่ายกว่าดื่มนมโดยตรง นอกจากนี้ยังมี แคลเซี่ยมและแมกนีเซี่ยม ช่วยบำรุงระบบประสาท มี ฟอสฟอรัส วิตตามิน B1,B12 วิตตามิน K

4.บัวหิมะ มีประโยชน์อะไรบ้าง
ใช้ดื่ม ทำให้ระบบทางเดินอาหารดีขึ้น มีสารอาหารต่างๆมากมาย ช่วยให้ระบบประสาทดีขึ้น ทำให้จิตใจสงบลง ช่วยในท่านที่นอนไม่ค่อยหลับ ส่วนสรรพคุณอื่นๆเห็นทางเว็ปเมืองนอกและคนที่เคยดื่มมีบอกไว้สารพัด แต่ผมไม่กล้าเอามาบอกเพราะดูจะเกินจริงไปหน่อยเลยอยากให้ไปอ่านเองจากต้น ฉบับและใช้วิจารณะญาณเอาเองครับ
อ้อส่วนสำหรับท่านสาวๆใช้พอกหน้าทิ้งไว้ 15 นาทีแล้วล้างออก เห็นเขาว่าทำให้ผิวดีขึ้นและขาวขึ้นได้ดีกว่าใช้โยเกิตครับเพราะยีสต์ใน บัวหิมะ ช่วยในการฆ่าเชื้อได้ส่วนนึง เห็นเขาว่าสิวนี่ลดลงเยอะเลยครับ

5.จะทำ บัวหิมะ อย่างไร

ก่อนอื่นต้องไปหาหัวเชื้อมาครับ แย่ตรงที่คนไทยเชื่อกันผิดๆว่าห้ามซื้อขาย ทำให้หาซื้อไม่ได้ ต้องตีซี้ขอเอาจากคนที่มีอยู่แล้วทำให้ลำบากพอสมควร
พอได้มาแล้วก็เอามาใส่ลงไปในขวดที่ลวกน้ำร้อนแล้ว เทนมรสจืดลงไปหนึ่งกล่อง ไม่ต้องปิดฝาแต่ให้ใช้ผ้าขาวบางปิดปากขวดไว้ ทิ้งไว้ที่อุณภูมิห้อง 24-48ชั่วโมงแล้วแต่ว่าชอบเปรี้ยวมากหรือน้อย แล้วให้เทนมออกมาโดยกรองเอาเจ้าหัวเชื้อ(ที่เป็นเม็ดๆก้อนๆสีขาวๆ)เก็บเอา ไว้ เอานมที่ว่าไปดื่มโดยใส่น้ำผึ้ง ผลไม้ ฯลฯ ตามชอบแช่ตู้เย็นไว้กินเย็นๆก็ได้ หรือจะเอาไปทาหน้าทาตัวก็แล้วแต่
ส่วนเจ้าหัวเชื้อก็ให้เอาไปใส่ขวดแช่นมเอาไว้เพื่อทบัวหิมะชุดใหม่ต่อไป เจ้าหัวเชื้อนี้ไม่ว่าเราจะต้องการน้ำ บัวหิมะหรือไม่เราก็ต้องเปลี่ยนน้ำนมให้มันอย่างน้อยทุกๆสามวันครับ หากจะเก็บไว้นานกว่านั้นต้องเก็บในตู้เย็น แต่ยังไม่มีรายงานว่าเก็บได้นานสุดเท่าไรก่อนที่เชื้อมันจะตายครับ